เลือก “ทุนประกัน” อย่างไรให้คุ้ม

 

เมื่อไรที่คิดซื้อประกันชีวิต สิ่งที่หลายคนคิดไม่ตกคงหนีไม่พ้น “ทุนประกัน” เพราะไม่มั่นใจว่าจำนวนเท่าไรถึงตอบสนองความต้องการของตัวเอง ทุนประกันเท่านี้จะให้ผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่ อยากเก็บเงินไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานต้องซื้อที่ทุนเท่าไร หากเราเสียชีวิตกะทันหัน เงินทดแทนเท่าไรถึงดูแลครอบครัวได้ ยิ่งใครที่เพิ่งจะซื้อครั้งแรกก็คงสับสนอยู่ไม่น้อย แต่อย่าห่วงเลย ที่จริงแล้วการจะซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตสักฉบับไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไร เพียงแต่เราต้องตั้งหลักให้ถูกว่าควรทำอะไรก่อนหลังและมีอะไรที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อบ้าง

อันดับแรกเลยต้องสำรวจทรัพย์สินของตัวเองก่อน เช่น มีเงินเก็บเท่าไร รายได้ต่อปีเป็นเท่าไร มีภาระรายจ่ายอะไรบ้าง ลงทุนอะไรไว้บ้าง จากนั้นค่อยมาพิจารณาถึงเงินเอาประกันภัยที่บริษัทต้องจ่ายให้ครอบครัวยามเราเสียชีวิตแล้วค่อยไปเลือกกรมธรรม์ที่สามารถซื้อสัญญาเพิ่มเติมคุ้มครองโรคร้ายและทุพพลภาพ รวมถึงค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วยและเงินชดเชยรายได้เมื่อต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล โดยทุนประกันขั้นต่ำควรอยู่ที่ประมาณ 8 – 10 เท่าของรายได้ต่อปี เพราะเราไม่ควรมองเรื่องความคุ้มครองชีวิตเพียงอย่างเดียว แต่ควรนำกรณีทุพพลภาพ สูญเสียรายได้ หรือจุดประสงค์เพื่อการลงทุนมาพิจารณาประกอบการคำนวณทุนประกันด้วย

นอกจากนี้ หากใครมีแพลนจะซื้อประกันชีวิตไว้เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้บุตร หลักๆ เลยก็ต้องพิจารณาว่า ลูกคุณอยากเรียนด้านไหน โตขึ้นอยากทำอาชีพอะไร คุณอยากให้เขาเรียนสถาบันระดับไหน จะให้เรียนในประเทศหรือไปต่อเมืองนอก อย่างไรก็ตาม การซื้อประกันชีวิตเพียงฉบับเดียวไม่ได้การันตีว่ามันจะตอบโจทย์ทุกความต้องการของเรา 100% แต่สิ่งสำคัญก็คือ เป็นตัวช่วยวางแผนทางการเงินไว้เพื่ออนาคตให้เรา บางคนที่เพิ่งซื้ออาจรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ให้ผลตอบแทนอะไรมากมายเพราะประกันชีวิตก็เหมือนการลงทุนในระยะยาว ผู้เอาประกันจะได้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุดก็ต่อเมื่อมีชีวิตอยู่จนครบสัญญา

ไม่ว่าเราจะซื้อประกันชีวิตครั้งใด สิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือ “จะซื้อประกันชีวิตไปเพื่ออะไร” พูดง่ายๆ ว่าต้องสำรวจตัวเองว่าเรามีควงามเสี่ยง/ ความต้องการเรื่องใดบ้างที่อาจส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงินหรือครอบครัวของเรามากที่สุด จากนั้นค่อยไปศึกษารายละเอียดของแบบประกันที่ต้องการซื้อว่าคุ้มครองเรื่องใด ให้ผลประโยชน์อะไรบ้าง และตรงกับจุดประสงค์ของเราหรือไม่ แต่ประกันชีวิตแต่ละแบบหรือแต่ละบริษัทย่อมให้ความคุ้มครอง/ ผลประโยชน์ และมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป เราจึงต้องศึกษาข้อมูลและนำเหตุผลในการซื้อของตัวเองมาพิจราณาให้รอบคอบ โดยยึดเอาจุดประสงค์หลักที่ต้องการซื้อเป็นที่ตั้งจะดีที่สุด ส่วนผลประโยชน์อื่นๆ ให้ถือเป็นเรื่องรองกันไป

 

 

ขอบคุณที่มา http://www.maxlifeinsurance.com/knowledge-centre/life-insurance/How-Much-Insurance-Do-You-Need.aspx