5 วิธี ประหยัดค่าเบี้ยประกันรถชั้น 1

เชื่อว่าทุกคนเมื่อซื้อรถคันใหม่ป้ายแดงมา ก็อยากจะทำประกันชั้น 1 เพื่อคุ้มครองรถที่รัก แต่ทว่าเบี้ยประกันสำหรับรถใหม่นั้น ถ้าเป็นรถญี่ปุ่นทั่วไปจะประมาณ 18,000-22,000 บาทต่อปี ถือว่าเป็นภาระที่หนักพอสมควร อย่างไรก็ตาม เบี้ยประกันในแต่ละปีสามารถลดลงได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยบทความนี้มี 5 วิธี เพื่อประหยัดค่าเบี้ยประกันรถชั้น 1 มาฝาก ดังนี้

1. ระบุชื่อผู้ขับขี่

วิธีนี้จะเหมาะสำหรับรถยนต์ที่มีผู้ขับขี่ประจำไม่เกิน 2 คน โดยต้องระบุชื่อ และอายุของผู้ขับขี่ เบี้ยประกันที่ต้องจ่ายในแต่ละปีก็จะลดลงจากราคาปกติ 5-20% ตามช่วงอายุของผู้ขับขี่ที่ระบุ ดังนี้

อายุ 18-24 ปี ส่วนลดเบี้ย 5%
อายุ 25-35 ปี ส่วนลดเบี้ย 10%
อายุ 36-50 ปี ส่วนลดเบี้ย 15%
อายุ 50 ปีขึ้นไป ส่วนลดเบี้ย 20%

ในกรณีที่ผู้ขับขี่ที่ต้องการระบุชื่อในกรมธรรม์มีอายุอยู่คนละช่วงกัน บริษัทประกันจะให้ส่วนลดเบี้ยประกันเท่ากับส่วนลดของผู้ที่มีอายุน้อยที่สุด เช่น ระบุชื่อผู้ขับขี่เป็นลูกอายุ 20 ปี และพ่ออายุ 50 ปี ส่วนลดเบี้ยที่ได้รับจะเท่ากับ 5% เป็นต้น

การระบุชื่อผู้ขับขี่เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดค่าเบี้ยประกันลงได้ แต่สำหรับครอบครัวที่มีผู้ใช้รถยนต์ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป อาจไม่เหมาะกับการใช้วิธีระบุชื่อผู้ขับขี่มาลดหย่อนค่าเบี้ยประกัน เพราะในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ แล้วผู้ขับขี่ไม่ได้มีชื่อระบุอยู่ในกรมธรรม์ จะถูกเรียกเก็บค่าความเสียหายส่วนแรกไม่เกิน 8,000 บาท

2. รับความเสี่ยงไว้เองบางส่วน

ด้วยการกำหนดค่าความเสียหายส่วนแรก (Deductible) หรือค่าความเสียหายส่วนที่ผู้ขับขี่จะรับผิดชอบเองเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในแต่ละครั้ง โดยทั่วไป บริษัทประกันจะให้เลือกค่าความเสียหายส่วนแรกได้ตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท ต่อการเคลมแต่ละครั้ง ทำให้สามารถประหยัดค่าเบี้ยประกันได้ส่วนหนึ่ง เช่น เลือกค่าความเสียหายส่วนแรก 5,000 บาท อาจทำให้ได้ส่วนลดค่าเบี้ยประกันจากยอดปกติที่ต้องจ่าย 5,000 บาท (ส่วนลดเบี้ยประกันอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท) ทั้งนี้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยเราเป็นฝ่ายผิด เราจะต้องจ่ายเงินรับผิดชอบความเสียหายเท่ากับค่าความเสียหายส่วนแรก 5,000 บาท ตามที่ระบุในกรมธรรม์ เป็นต้น

วิธีนี้จะเหมาะกับผู้ขับขี่รถที่มีความมั่นใจ มีประสบการณ์ในการขับรถสูง รวมถึงยอมรับความเสี่ยงจากการขับขี่รถยนต์ของตัวเองได้บางส่วน

3. ขับรถดี…มีส่วนลด

การใช้รถอย่างระมัดระวัง ไม่มีการเคลมเกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา หรือมีการเคลมแต่เราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นปีละขั้น ดังนี้

ขั้นที่ 1 ขับรถดีในปีแรก รับส่วนลด 20% ในปีต่อมา
ขั้นที่ 2 ขับรถดี 2 ปีติดต่อกัน รับส่วนลด 30%
ขั้นที่ 3 ขับรถดี 3 ปีติดต่อกัน รับส่วนลด 40%
ขั้นที่ 4 ขับรถดีติดต่อกันตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป รับส่วนลด 50%

การขับรถดี ขับด้วยความระมัดระวัง ช่วยให้เบี้ยประกันที่จ่ายในปีต่อมาลดลงได้ แต่ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วเราเป็นฝ่ายผิด ส่วนลดประวัติดีจะลดลงทีละขั้น เช่น มีส่วนลดประวัติดี 30% แต่ในปีนั้นเกิดอุบัติเหตุและเราเป็นฝ่ายผิด ส่วนลดประวัติดีจะเหลือ 20% เป็นต้น ทั้งนี้ หากเกิดอุบัติเหตุรุนแรง เช่น รถชน ในปีเดียวกันตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป โดยเราเป็นฝ่ายผิด และมีค่าซ่อมสูงกว่าเบี้ยประกันรวม 2 ครั้งที่จ่ายไปเกิน 200% ก็จะถูกลดส่วนลดเบี้ยประกันลงทีเดียว 2 ขั้น

4. ลดทุนประกัน

หากมองว่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายแต่ละปีสูงเกินไป ก็สามารถปรับลดทุนประกัน เพื่อจ่ายเบี้ยประกันลดลง แต่ก็ต้องยอมรับความคุ้มครองที่ลดลงด้วย เพราะหากเป็นการจ่ายเบี้ยประกันตามปกติ เมื่อเกิดความเสียหายหนัก ๆ เช่น รถชน ไฟไหม้ สูญหาย บริษัทประกันจะชดเชยค่าเสียหายให้ประมาณ 70-80% ของมูลค่ารถ ณ วันทำประกัน ในขณะที่การขอลดทุนประกัน เมื่อเกิดความเสียหายรุนแรงขึ้นกับรถ บริษัทจะจ่ายเงินชดเชยให้ตามสัดส่วนของทุนประกันที่ทำไว้ ซึ่งอาจไม่เพียงพอกับความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ได้

5. ลดความคุ้มครอง

ข้อดีของการทำประกันชั้น 1 คือได้รับความคุ้มครองจากอุบัติเหตุอย่างครบถ้วน แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ ค่าเบี้ยประกันที่สูงกว่าประกันรถชั้นอื่น ๆ สำหรับผู้ที่มองว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องมีความคุ้มครองอย่างครบถ้วน หรือยอมรับความเสี่ยงได้บางส่วน อาจเลือกทำประกันรถชั้น 2+ หรือ 3+ ซึ่งค่าเบี้ยประกันถูกกว่าประกันชั้น 1 เกือบครึ่งหนึ่ง โดยประกันทั้ง 2 ประเภทนี้จะให้ความคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเหมือนกับประกันชั้น 1 แต่ให้ความคุ้มครองรถของผู้เอาประกันในกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น สำหรับความแตกต่างระหว่างประกันชั้น 2+ และ 3+ คือ ประกัน 2+ จะให้ความคุ้มครองรถของผู้เอาประกันในกรณีสูญหาย และไฟไหม้ด้วย

ที่มา Kapook