เริ่มต้นลงทุนต่างประเทศอย่างไรดี?

การกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์(Asset Diversification)เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรศึกษาเพื่อบรรลุเป้าหมายการลงทุนในระยะยาว หลายท่านอาจกระจายความเสี่ยงในการลงทุน อาทิ ตราสารหนี้ เงินฝากประจำหรือหุ้นในอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ดีการกระจายความเสี่ยงที่เน้นลงทุนเฉพาะแต่ภายในประเทศอาจไม่ใช่การกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงภายในประเทศที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นการออกไปลงทุนในต่างประเทศจึงเป็นทางเลือกที่เริ่มมีความสำคัญและเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนชาวไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีหลายโบรคเกอร์ในประเทศไทยที่เปิดให้บริการในส่วนนี้ โดยบริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป ก็เป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ที่ให้บริการมาอย่างยาวนาน

ทำไมถึงต้องลงทุนต่างประเทศ?

การลงทุนล้วนมาพร้อมกับความไม่แน่นอนเสมอ ดังนั้น ก่อนที่เราจะเริ่มต้นลงทุนในต่างประเทศ นักลงทุนควรทำความเข้าใจก่อนว่าทำไมการลงทุนในต่างประเทศถึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยขอยกตัวอย่างดังต่อไปนี้

  1. อย่าใส่ไข่ไว้ในตระกล้าใบเดียว”

อาจเป็นคำกล่าวที่ไม่ไกลเกินจริง เนื่องจากในโลกแห่งการลงทุนเราแทบไม่รู้เลยว่า ความเสี่ยงนั้นจะมาในรูปแบบไหน จึงทำให้การกระจายการลงทุนเฉพาะแต่ภายในประเทศอาจทำให้เราเผชิญความเสี่ยงบางประการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ความเสี่ยงในเรื่องของเสถียรภาพทางการเมืองภายในของประเทศ ความเสี่ยงของวัฎจักรทางเศรษฐกิจหรือโครงสร้างประชากรผู้สูงอายุที่กำลังกัดกร่อนการบริโภคภายในประเทศ เป็นต้น ดังนั้น ความแตกต่างของเสถียรภาพทางการเมืองของแต่ละประเทศ ขนาดและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศ ล้วนนำมาซึ่งโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการลดความเสี่ยงที่เกิดจากการกระจุกตัวกันของสินทรัพย์อีกด้วย

  1. เพิ่มทางเลือกในการลงทุน

หลายครั้งเวลาที่คิดจะลงทุน คำถามที่มักจะผุดขึ้นมาเสมอๆกับนักลงทุนหน้าใหม่ก็คือ จะเริ่มอย่างไรดี? หุ้นตัวไหนน่าลงทุน? หลายคนอาจเริ่มจากบริษัทในอุตสาหกรรมที่ชอบ เทรนด์ที่ใช่ หรือสินค้าและบริการต่างๆใกล้ตัวที่ใช้อยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ดีบริษัทเหล่านั้นบางบริษัทก็ไม่ได้มีการจดทะเบียนบริษัทให้ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมากนัก ทำให้นักลงทุนไทยหลายคนพลาดโอกาสเกาะกระแสเทรนด์โลก หุ้นในอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เช่น เทคโนโลยี คาสิโน เวชภัณฑ์และ อาวุธยุทโธปกรณ์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสินค้าทางเลือกอย่าง ETFs ให้เลือกลงทุนได้หลากหลายกว่าเมืองไทย เช่น ลงทุนในพันธบัตร ตราสารหนี้ประเภทต่างๆ หรือจะเป็นหุ้นของบริษัทชื่อดังต่างๆในทุกประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ยังมาพร้อมกับวิธีการลงทุนที่น่าสนใจ เช่น leverage คูณ 2 เท่า 3 เท่า  หรือ Hedging โดยการ Short ในดัชนีก็สามารถทำได้เช่นกัน

  1. โอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้น

ก่อนอื่นเลยผมอยากแนะนำให้ท่านนักลงทุนรู้จักกับ The Trillion club หรือ กลุ่มมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ที่มีขนาด 1 ล้านล้านดอลลาห์สหรัฐฯขึ้นไปที่มีสมาชิก เช่น สหรัฐฯ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ขณะที่ SET บ้านเรานั้นมีขนาดแค่ 4 แสนล้านดอลลาห์สหรัฐฯเท่านั้น เมื่อย้อนดูหุ้นขนาดใหญ่ในไทยจะพบว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นหุ้นที่พึงพาการบริโภคภายในเป็นหลักอย่าง CPALL หรือหุ้นที่เป็นสินค้ากลุ่มพลังงานที่ราคาผันผวนตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกอย่าง PTT ซึ่งล้วนแล้วเป็นบริษัทที่อยู่ในยุค 3.0 แทบทั้งสิ้น ขณะที่ในตลาดต่างประเทศจะพบว่า บริษัทที่ลิสต์อยู่ในต่างประเทศส่วนใหญ่ เป็นแหล่งรวมบรรษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่จำนวนมากที่มีการดำเนินกิจการอยู่ทั่วโลกหรือเป็นบริษัทเทคโนโลยีแห่งโลกในอนาคตที่มาพร้อมกับนวัตกรรมเจ๋งๆมากมาย เช่น Google, Facebook, Apple เป็นต้น ทำให้ปริมาณเม็ดเงินจำนวนมหาศาลทั่วโลกมันไหลไปหาสินทรัพย์ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่มากกว่า ดังนั้นการคว้าโอกาสจากกระแสเงินทุนที่ไหลอยู่ในตลาดต่างประเทศจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยในการสร้างผลตอบแทนระยะยาว

ทำไมถึงต้องลงทุนกับฟิลลิป?

เพราะเราเป็นตัวจริงด้านการลงทุนและเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ให้บริการการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนชาวไทยสามารถลงทุนและเป็นเจ้าของหุ้นต่างประเทศด้วยตัวเอง กว่า 11 ประเทศ 15 ตลาด(สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย อังกฤษ เวียดนาม และอื่นๆ) ภายใต้บัญชีเดียว ทั้งนี้ยังมีโครงการ Share Builder Plan สำหรับนักลงทุนที่อยากจะออมในหุ้นต่างประเทศเป็นประจำให้เลือกใช้บริการได้อีกด้วย แถมการเปิดบัญชีก็ง่ายและสะดวกเพียงเปิดบัญชีออนไลน์ได้ด้วยตัวเองที่หน้า www.poems.in.th หรือติดต่อเจ้าหน้าที่มาได้ที่เบอร์ 02-635-3055 ได้ตลอด 24 ชม.

 

บทความโดย : คุณอภิศักดิ์ ว่องวานิช