พลิกวิกฤต โควิด19

“วิกฤต COVID-19” ได้ทำให้ทุกธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อก้าวเข้าสู่ ‘New Normal’ ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสในครั้งนี้เป็นตัวเร่งให้เกิดเร็วขึ้น

ในอุตสาหกรรมกองทุนรวมเอง บทบาทของ ‘เทคโนโลยี’ ก้าวมามีบทบาทสำคัญมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่จำกัดอยู่แค่ “บลจ.ลูกแบงก์” ที่เป็นเจ้าตลาดอยู่เท่านั้น

“บลจ.ขนาดเล็ก” เองก็เช่นกัน ด้วยโมเดลที่ไม่มีแขนขาเป็นเครือข่ายแบงก์ เรื่องเทคโนโลยีจึงมีส่วนช่วยเป็นอย่างมาก

ในวันนี้เป็นอีกครั้งที่ทาง ‘Wealthy Thai’ จะนำมุมมองและแผนการดำเนนธุรกิจ ภายใต้สถานการณ์ระบาด COVID-19 ที่ส่งผลให้บริษัท ผู้ประกอบการ ไม่น้อยต้องปรับการทำธุรกิจเพื่อความอยู่รอด

โดยครั้งนี้ “ติยะชัย กั๊วะ เอินน์ ชอง” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ฟิลลิป จำกัด ได้แชร์แผนธุรกิจและมุมมองการทำธุรกิจในช่วงในช่วงสถานการณ์ระบาด COVID-19 ให้ฟังกัน

ก้าวสู่ ‘ดิจิตอลแพลตฟอร์ม’ มากขึ้น

สำหรับนโยบายการทำงานในช่วงสถานการณ์ระบาด COVID-19 บริษัทได้ให้ความสำคัญถึงสุขภาพพนักงาน พาทเนอร์และลูกค้าเป็นลำดับต้นๆ โดยการสร้างระบบการทำงานให้สอดรับกับมาตรการรัฐบาลหรือความสะดวกในการทำงาน อย่างการทำงานที่บ้าน (Work Form Home) การทำวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับพาทเนอร์

พร้อมทั้งก้าวสู่ ‘ดิจิตอลแพลตฟอร์ม’ มากขึ้น อย่างการลดขั้นตอนการซื้อขายบางอย่างเพื่อประหยัดเวลาการทำงานแต่ยังคงรักษาคุณภาพการบริการให้อยู่ระดับที่ลูกพอใจเช่นเดิม และการจัดเก็บข้อมูลเอกสารในรูปแบบดิจิทัลแทนการจัดเก็บในรูปแบบเอกสารกระดาษ (Paperless) เพื่อช่วยลดขั้นตอนการทำงานร่วมกับโบรกเกอร์ ตัวแทน และนายหน้าต่างๆ

ในส่วนของ “ลูกค้า” บริษัทยังคงให้ความสำคัญ ตาม 3 นโยบายหลักของบริษัท ประกอบไปด้วยผลตอบแทน ความเสี่ยง และสภาพคล่อง ซึ่งบริษัทได้มีการสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่รวดเร็วและการบริหารความเสี่ยงได้กระชับมากขึ้น

“สถานการณ์ระบาด COVID-19 ทางเรามองเป็น ‘อุปสรรค’ ในการทำงานและ ‘โอกาส’ ในการปรับปรุงการทำงาน ที่ช่วยให้มีการยืดหยุ่นมากขึ้น การจัดเก็บข้อมูลเอกสารในรูปแบบดิจิทัลแทนการจัดเก็บในรูปแบบเอกสารกระดาษ ซึ่งการปรับปรุงนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานได้ต่อเนื่องแม้จะผ่านพ้นช่วงสถานการณ์ระบาด COVID-19 ไปแล้วก็ตาม”

“บลจ.เล็ก” บางมิติก็มีโอกาสที่ดีกว่า ‘บลจ.ใหญ่’ เช่นกัน

การทำงานและการแข่งขันทางธุรกิจในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร กับระบบที่ยังไม่มีความพร้อม จึงต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวและพัฒนาระบบขึ้นมารองรับ แต่หลังจากทำได้สำเร็จทำให้บริษัทมี ‘จุดเด่น’ มากขึ้น

โดยเฉพาะการเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น ที่บริษัทได้วิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับบริษัทในเครือที่อยู่ต่างประเทศทุกสัปดาห์ไม่ว่าจะในสหราชอาณาจักร สิงคโปร์ และสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลทำให้การทำแผนธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“การแข่งขันกับบริษัทใหญ่ เราต้องยอมรับว่าบริษัทเรามีขนาดที่เล็ก แต่ในบางมิติเราสามารถจะหาโอกาสต่างๆ ที่เสริมประสิทธิภาพการแข่งขันให้กับตัวเอง อย่างการอาศัยขนาดที่เล็กทำให้เราสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าบริษัทใหญ่ โดยลดขั้นตอนที่ยุ่งยากลง หรือจะเป็นการปรับพอร์ตลงทุน”

ทั้งนี้การลงทุนหลังจากนี้อยากให้นักลงทุน มองหา ‘โอกาส’ และมุมมอง ‘การลงทุนใหม่ๆ’ เนื่องจากสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปทำให้มุมมองในอดีตบางอย่างจะไม่เหมาะสมในตอนนี้ จึงมีความจำเป็นที่จะหากลยุทธ์การลงทุนใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก PhillipCapital