RMF ที่น่าสนใจ ลดหย่อนภาษีได้ กำไรดี

“การออมเป็นเรื่องที่สัมผัสได้เฉพาะตน ใครออม ใครได้”

เข้าสู่เดือนตุลาคม 2563 แล้ว เหลืออีก 3 เดือนก็จะสิ้นปี 2563 พอเข้าสู่ปลายปี ผู้ที่ต้องเสียภาษีมักจะมองหาการลงทุนที่เป็นตัวช่วยลดหย่อนภาษี และหนึ่งในนั้นต้องมี RMF หรือ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพรวมอยู่ด้วย เครื่องมือการออมเงินระยะยาวไว้ใช้หลังเกษียณ

คำถามที่เรามักจะได้ยินจากเพื่อนๆ คือ  RMF ตัวไหนดี เหมือนกับที่เรามักถามเพื่อนๆ หรือ โบรกเกอร์ว่า หุ้นตัวไหนดี

อยากรู้ว่า RMF ตัวไหนดี มีกำไร มีข้อมูลอ้างอิงที่พอจะดูได้ วันนี้จะพาไปดูที่เวปไซต์ของ wealthmagik.com มีการรวบรวม RMF ประเภทต่างๆ ไว้ให้เราดูเป็นตัวอย่างได้

อาทิ RMF ที่มีการลงทุนในหุ้นและตราสารการเงิน ตราสารหนี้ ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในช่วง 3 และ 5 ปี 3 ลำดับแรก ประกอบด้วย SCBRMFPOP ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมาถึงวันที่ 1 เดือนกันยายน 2563 ให้ผลตอบแทน 8.01% ด้าน UOBGARMF ในช่วง 3 ปีถึงวันที่ 2 กันยายน 2563 ให้ผลตอบแทน 4.05% ช่วง 5 ปี ได้ 4.11% และ KGARMF ผลตอบแทน 3 ปี ถึง 1 กันยายน 2563 ได้ 4.37% ส่วน 5 ปีได้ 5.04%

ด้าน RMF ที่ลงทุนในหุ้นอย่างเดียว กองทุน ONE-UGERMF ผลตอบแทน 3 ปีถึงวันที่ 2 กันยายน 2563 ได้ 20.93% กองทุน KFGTECHRMF ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนถึง 1 กันยายน 2563 ให้ผลตอบแทน 16.50% และ ASP-DISRUPTRMF ให้ผลตอบแทน 20.32%

มาดู RMF ลงทุนในตราสารหนี้อย่างเดียวกันบ้าง กองทุน KT-BOND RMF ผลตอบแทน 3 ปีถึง 1 กันยายน 2563 ทำได้ 2.98% ส่วน 5 ปี ทำได้ 1.81% กองทุน TMBGINCOMERMF ผลตอบแทน 3 ปีอยู่ที่ 1.79%

นอกจากนี้ เว็ปไซต์ morningstarthailand.com ก็มีข้อมูล RMF ที่สามารถใช้อ้างอิงได้ โดย RMFลงทุนในหุ้นอย่างเดียว 3 ปีย้อนหลังที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ประจำเดือนกรกฎาคม 2563 กองทุน ONE-UGERMF อยู่ที่ 16.61% กองทุน TMBCORMF อยู่ที่ 15.11%

ขณะที่ RMF MIX ประเภท Allocation ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด 2 อันดับแรกประจำเดือนกรกฎาคม 2563 ได้แก่ กองทุนเปิด เค โกลบอล แอโลเคชั่น RMF โดยย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 4.64% ลงทุน 5 ปีได้ 5.26% กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล เวลท์พลัส เพือการเลี้ยงชีพ 3 ปีทำได้ 5.22% ส่วน 5 ปีทำได้ 5.13%

ข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่ยกมาให้ดูผลตอบแทนของ RMF ที่ทำได้ดี แต่ก็มี RMF ที่ผลงานไม่ดีติดลบกันก็มี  และจงอย่าลืมว่า ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคต คือ อดีตทำได้ดี ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะทำได้ดีเช่นอดีต

ข้อดีข้อเสีย RMF

ก่อนที่จะเลือกกองทุน RMF ต้องรู้จักข้อดี ข้อเสียของมันก่อน ข้อดี คือ เป็นตัวช่วยลดหย่อนภาษี เป็นเครื่องมือการลงทุนระยะยาว ซึ่งตามสถิติการลงทุนระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในระยะสั้น (หากลงถูกจังหวะ) มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย  อาทิ RMF ลงทุนในหุ้น 100% RMF ลงทุนในตราสารหนี้ 100% ลงทุนแบบผสมคือตราสารหนี้ 80% หุ้น 20% RMF ลงทุนในทองคำ

ส่วนข้อเสีย จะขายคืนได้เมื่ออายุครบ 55 ปี และต้องลงทุนติดต่อกันอย่างน้อย 5 ปีก่อนครบกำหนดขาย ถ้าขายก่อนกำหนดต้องคืนภาษีพร้อมค่าปรับ ไม่มีการจ่ายเงินปันผล เงินทุกบาทจึงนำออกมาใช้ไม่ได้

ลงทุนช่วงไหนดี

สำหรับปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่มีวิกฤติไวรัสโควิด-19 ระบาด ช่วงนี้ดูจะเหมาะในการเริ่มทยอยสะสม RMF ไม่ต้องรอถึงเดือนพฤศจิกายน หรือ เดือนธันวาคม เหมือนปีที่ผ่านๆ มา เพราะดัชนีหุ้นไทย หรือ SET Index เริ่มปรับตัวลดลงอีกแล้วจากความกังวลเรื่องการระบาดของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ณ วันที่ 9 เดือน 9 SET Index ลงไปต่ำสุดที่ 1,276.38 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศก็มีการปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน  ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19  ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกตกอยู่ในความเสี่ยง ผู้คนมีความกังวลเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพ

คุณผู้อ่านอาจเป็น 1 ใน 9 ล้านคนไทยที่มีประกันสุขภาพที่คุ้มครองโควิด-19  ซึ่ง ณ สิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยอดเงินซื้อประกันคุ้มครองโควิด-19 มีมากถึง 4,000 ล้านบาท มีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว 85 ล้านบาท และมีแนวโน้มว่ายอดผู้ซื้อจะเพิ่มขึ้น

การเข้าลงทุนใน RMF สามารถที่จะซื้อปีละกี่ครั้งก็ได้ในช่วงจังหวะที่เห็นว่าราคาพอใจ หรือ ซื้อทุกเดือนแบบหักบัญชีผ่านธนาคาร จะทำให้ได้ RMF หลายๆ ราคา เมื่อครบปีจะเป็นราคาเฉลี่ยตลอดปี ซึ่งจะเป็นค่ากลางที่ไม่สูงเกินไป

RMF แบบไหนเสถียรภาพสูง

สำหรับปัจจุบันที่ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาลง หุ้นตก RMF ที่ลงทุนในตราสารหนี้อย่างเดียว ให้ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ เพราะอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ว่าเป็น RMF ที่เงินต้นปลอดภัย

ขณะที่ RMF ที่ลงทุนในหุ้นอย่างเดียว ขาดทุนถ้วนหน้า แต่ผลงานย้อนหลัง 3-5 ปี หลายกองทุนยังมีผลตอบแทนเป็นบวก

ส่วน RMF ที่มีการลงทุนแบบผสม ทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ สินทรัพย์อื่นๆ และยังมีการกระจายลงทุนไปยังต่างประเทศด้วย ผลตอบแทนย้อนหลัง 3-5 ปียังดี และกองทุนที่ทำผลตอบแทนดีติดอันดับต้นๆ จะเป็นกลุ่มนี้

หากไม่อยากมี RMF หลายตัวในพอร์ต ก็เลือก RMF ที่ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ  ที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทั้งตราสารหนี้ หุ้น และที่ลงทุนในหุ้นก็กระจายไปตามอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อไม่ให้การลงทุนกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง และเลือกแบบที่ว่าให้ปรับพอร์ตอัตโนมัติให้สัดส่วนเป็นไปตามที่เลือกไว้ตั้งแต่แรก

เช่น RMF ลงทุนในตราสารหนี้ไทย 50% ลงทุนในหุ้น 20% และลงทุนในต่างประเทศ 30% หากมูลค่าเงินลงทุนในหุ้นเกิน 20% จากกำไรที่เพิ่มขึ้น ให้ทำการปรับพอร์ตอัตโนมัติ เพื่อให้สัดส่วนการลงทุนในหุ้นอยู่ในระดับ 20% เท่าเดิม

เรียกว่า มี RMF กองเดียวจบ สบายใจ เพราะถ้าหุ้นขึ้นก็มีโอกาสทำกำไรเต็มที่ตามสัดส่วนลงทุน ถ้าหุ้นตกก็มีตราสารหนี้คอยพยุงพอร์ต และด้วยการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ทำให้เงินลงทุนค่อนข้างมีเสถียรภาพ

ที่สำคัญจงจำไว้ว่า การลงทุนมีความเสี่ยง อย่าหวังน้ำบ่อหน้าเพียงอย่างเดียว แม้ว่าอายุจะน้อย เพราะเมื่อมีกำไร ย่อมมีขาดทุนในลักษณะเดียวกัน

เงินที่จะเก็บไว้ใช้ยามเกษียณ(เงินต้น)ต้องเก็บไว้ในสินทรัพย์ปลอดภัย แล้วเงินลงทุนเพื่อหวังกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้น ในตลาดเงิน นั้น ควรเป็นอีกก้อนหนึ่งที่เมื่อขาดทุนหรือหายไป จะไม่ทำให้เราเดือดร้อน