หนี้…เป็นคำที่มีทั้งมุมบวก และ มุมลบ ในมุมบวกแสดงว่าเรามีเครดิตดี ธนาคารหรือสถาบันการเงินถึงปล่อยเงินกู้ให้เรา และเราสามารถใช้หนี้เป็นเครืองมือในการออม สร้างทรัพย์สิน ได้
เช่น การกู้เงินซื้อประกันชีวิต กู้เงินเพื่อลงทุน เพื่อสร้างเงินก้อนใหญ่ในอนาคต กู้เงินซื้อบ้านซึ่งจะเป็นทรัพย์สินของตัวเองและครอบครัวในอนาคต กู้เงินเพื่อดูแลสุขภาพที่จะทำให้เราแข็งแรง
เป็นการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ทางการเงิน เพราะวันนี้อายุยังน้อย เบี้ยประกันจะถูก และมีระยะเวลาในการผ่อนชำระเงินกู้ซื้อบ้านนาน ทำให้เงินงวดที่ต้องผ่อนไม่สูงมาก ผ่อนแบบสบายๆ ไม่เครียด
ส่วนมุมลบ อยู่ที่ประเภทของหนี้ที่เราก่อ เช่น การก่อหนี้เพื่อซื้อสิ่งของฟุ่มเฟือยที่ไม่ก่อรายได้มากเกินไป เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอางค์ เครื่องประดับ การดื่ม เที่ยวกลางคืน ซึ่งจะกลายเป็นห่วงรัดตัวเราให้อึดอัดและเครียด
ไม่ว่าจะเป็นหนี้เพื่อสร้างทรัพย์สิน และ หนี้เพื่อซื้อสิ่งของที่ฟุ่มเฟือยที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หากสามารถรักษาสัดส่วนหนี้ไว้ไม่ให้มากเกินไปเมื่อเทียบกับรายได้ จะทำให้เราสุขใจทั้งวันนี้และไม่กังวลอนาคต ทำให้ไม่พลาดโอกาสแห่งความสุขต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัว
สัดส่วนหนี้ทั้งหมดที่เรามีที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำอยู่ประมาณ 28%-36% หรือเฉลี่ยแล้วไม่ควรเกิน 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน จะทำให้สภาพคล่องของเราคล่องปรื๊ดๆ สามารถวางแผนเพื่อการเก็บออม มีใช้จ่ายเพื่อความจำเป็น และสนองความอยากในชีวิตได้สบายสบาย
ตัวเลขการคุมภาระหนี้ไม่ให้เกิน 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน มาจากประสบการณ์ของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินในระดับสากล ที่ทำการเก็บรวบรวมประวัติการชำระหนี้ของลูกหนี้ ไม่ว่าจะเป็นลูกหนี้รายบุคคล ส่วนใหญ่จะพบว่าลูกหนี้มีหนี้ไม่เกิน 1 ใน 3 ของรายได้ สามารถผ่อนชำระหนี้ได้ทุกงวดอย่างไม่สะดุด และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ยกตัวอย่าง ถ้ามีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 25,000 – 30,000 บาท ควรมีหนี้ที่ต้องผ่อนชำระเดือนละ 7,500 – 9,000 บาท จะทำให้มีเงินเหลือเพื่อใช้จ่ายประจำวันด้านอื่นๆ แบบไม่ต้องจำกัดจำเขี่ย
ถ้าคุณต้องผ่อนหนี้ต่อเดือนสูงกว่านี้ วิถีชีวิตคุณเริ่มเครียดแน่นอน เพราะมันจะทำให้คุณพลาดบางอย่างในชีวิต เช่น อาจทำให้ต้องกินอาหารสำเร็จรูปแทนการกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ไปหลายวัน หรือ แทนที่จะได้นั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน ต้องนั่งรถเมล์แทน หรือ ใครมีรถขับ อาจลดการใช้รถเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าทางด่วน
ใครที่มีหนี้เกิน 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน ควรเร่งลดสัดส่วนลงอย่างจริงจังในยุคที่โควิด 19 กำลังระบาดรุนแรงขึ้น เพื่อรักษาสภาพคล่อง รักษาสุขภาพทางการเงินของตัวเองและครอบครัว
แม้ช่วงนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารไทย จะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ออกมาซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา เน้นรักษาสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้ลูกหนี้รายย่อย ทั้งขยายวงเงินกู้เป็น 2 เท่าของเงินเดือน คงอัตราการผ่อนชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำเหลือร้อยละ 5 หรือ 5% สำหรับผู้ที่รายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 30,000 บาทไปจนถึงสิ้นปี 2565 เพื่อลดภาระหนี้ระยะยาว ลดภาระดอกเบี้ย และมีทางเลือกในการปิดหนี้ แต่ก็ยังเป็นหนี้ที่คุณต้องชำระคืนอยู่ดี
การคุมภาระหนี้ไม่ให้เกิน 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน สามารถทำได้ 6 แนวทาง คือ
1.หยุดการก่อหนี้ใหม่
2.เร่งชำระหนี้ที่อัตราดอกเบี้ยสูงให้หมด
3.จัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้หมด
4.จัดการหนี้ที่มีระยะเวลาต้องผ่อนชำระไม่เกิน 1 ปี ให้เหลือเฉพาะหนี้ที่มีระยะเวลาผ่อนชำระระยะยาวที่จะสร้างทรัพย์สินและเงินออมของเราให้เติบโตในอนาคต
5.ลดรายจ่าย
6.เพิ่มรายได้
คุณสามารถทำควบคู่กันไปได้ทั้ง 6 แนวทาง จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในยุคที่โควิด 19 ระบาดระลอก 2 นี้ การหยุดก่อหนี้ การลดรายจ่าย จะทำได้ง่ายและเร็วที่สุด ด้วยการใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งที่จำเป็นที่ต้องมีเพื่อความอยู่รอดของชีวิต คือ อาหาร ที่พัก ยา การเดินทาง(แม้จะเป็นช่วงรักษาระยะห่างทางสังคม แต่เรายังต้องเดินทางไปทำงาน ไปซื้ออาหาร ไปโรงพยาบาล)
ส่วนเสื้อผ้าเชื่อว่าทุกคนมีพอใช้ในช่วง 1 ปีแน่นอน ไม่ต้องซื้อเพิ่มนะช่วงนี้ อดใจไว้ก่อน ที่นำมาจัดโปรโมชั่น ลด 50-70% ก็อย่าไปตื่นเต้นหรือเสียดายโอกาส เดี๋ยวก็มีจัดโปรฯอีก
สิ่งที่มีเพื่อความสวยงาม เพื่อความภูมิฐาน เพื่อความโก้หรู งดไปก่อน จะทำให้มีเงินเหลือในการนำไปชำระหนี้เงินกู้ที่ดอกเบี้ยสูงๆ ชำระหนี้อื่นๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ หรือ เพิ่มเครดิตให้ตัวเองในสายตาของธนาคารและสถาบันการเงิน เพราะหากมีเรื่องจำเป็นเร่งด่วน สามารถขอกู้เงินเพิ่มได้
ด้านการเพิ่มรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการเดินเข้าไปขอนายจ้างขึ้นเงินเดือน การทำงานล่วงเวลาหรือทำโอที การหางานใหม่ที่มีเงินเดือนสูงขึ้น ในยุคที่บริษัทกำลังรัดเข็มขัดอย่างแน่นหนาด้วยการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก และหลายบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมีการลดเงินเดือนพนักงานและเลิกจ้าง ทำให้รายได้ของใครหลายๆ คนลดลง และหลายๆคนไม่มีรายได้
รวมถึงการหารายได้เสริมจากงานอื่นๆ นอกเหนือจากงานประจำก็ดูจะยากในสถานการณ์อย่างนี้
ทางที่ง่ายที่สุดงดซื้อของฟุ่มเฟือย หยุดก่อหนี้ใหม่ ใช้หนี้ดอกเบี้ยสูงให้หมด เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพทางการเงิน และรักษาสถานภาพทางสุขภาพจิตไว้ให้รื่นรมย์ต่อไป เพราะกูรูประเมินกันว่าการระบาดของโควิด 19 จะกระทบกับเศรษฐกิจถึงสิ้นปี 2565 หรือคุณต้องกังวลกับความเสี่ยงเรื่องรายได้ ความเสี่ยงด้านการติดเชื้อโควิด 19 ไปอีก 15 เดือนเลยทีเดียว