เตรียมพร้อมชีวิตการเงิน หลังเกษียณแต่เนิ่นๆ เพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุขและไร้กังวล

เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่เงินทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

เงินจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนในโลกใบนี้ต้องการมีไว้ใช้อย่างเพียงพอตลอดชีวิต

ย้อนกลับมาดูตัวเอง จำได้ไหมว่า ช่วงที่เราไม่กังวลเรื่องเงินและมีความสุขที่สุดคือวันไหน

หลายคนมีคำตอบเหมือนกัน คือ วันเงินเดือนออก เพราะมีเงินเต็มกระเป๋า จะรู้สึกโล่งมากๆ หายใจได้เต็มปอด เหมือนได้นอนรับลม ชมวิวทะเล เลยทีเดียว ชอบใช่ไหมละ ความรู้สึกแบบนี้

จะดีมากเลยใช่ไหม หากหลังจากที่เราเกษียณแล้ว ยังมีเงินเต็มกระเป๋า สามารถซื้อหาสิ่งของที่อยากได้อยากกิน สามารถไปเที่ยวในที่อยากไปได้

ตรงข้ามกับช่วงที่กระเป๋าแห้ง เงินหมด จะรู้สึกอึดอัด กังวลใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ จิตใจหดหู่ สถานการณ์แบบนี้บอกเลยว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครปรารถนา เพราะมันรู้สึกค่าความเป็นคนลดลงตามกำลังซื้อที่หดหาย

อยากมีชีวิตที่พึ่งพิงตัวเองได้ มีเงินออมเพียงพอในการดำรงชีพ หลังจากที่ไม่ได้ทำงาน จึงต้องเตรียมพร้อมการเงินหลังเกษียณแต่เนิ่นๆ เพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุขและไร้กังวล

ทั้งนี้ ต้องทำการจัดสรรเงินออกมาเป็นก้อนๆ เริ่มจากปัจจัย 4 ต้องมีเพียงพอ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาลและการดูแลสุขภาพ ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และเรื่องอื่นๆ ตามที่เราจะจัดสรรเพิ่มขึ้นตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง เช่น ค่าเดินทาง ค่าท่องเที่ยว ค่าเข้าสังคม ทำบุญ ทำทาน

ยกตัวอย่าง ค่าอาหาร หากปัจจุบันเรากินอาหารนอกบ้านวันละ 210 บาท และถ้าหลังเกษียณคิดว่าจะมีอายุอยู่ได้ 20 ปี มีทั้งหมด 7,300 วัน เป็นเงิน1,533,000 บาท ไม่ต้องบวกเงินเฟ้อให้ปวดหัว แต่ถ้าเราทำกินเองในบ้าน หรือสามารถผลิตอาหารทานเองได้ ก็จะลดค่าใช้จ่ายลงได้อีก เงินที่เหลือก็สามารถนำไปทำอย่างอื่นได้มากขึ้น

ค่าที่อยู่อาศัย ถ้ามีบ้านตัวเองที่ปลอดภาระหนี้แล้ว ก็ไม่ต้องเตรียมเยอะ แค่สำรองค่าซ่อมบำรุงไว้ระดับหนึ่งก็พอ

ค่ารักษาพยาบาล จัดเงินก้อนไว้เลย โดยดูจากโรคที่เรามีโอกาสป่วย แล้วหาข้อมูลค่ารักษาโรคนั้นๆ ในกรณีที่อยู่ในขั้นวิกฤติ ในโรงพยาบาลที่เราจะเข้าไปใช้บริการ ต้องใช้เงินเท่าไหร่ ก็สำรองไว้ให้พอ แต่ถ้าใช้สวัสดิการรัฐ เงินก้อนนี้อาจไม่ต้องมี

เก็บออม และ ลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

มีหลายแบบมาก แต่ที่สำคัญคือต้องเริ่มเก็บออม ลงทุน ทันที ตั้งแต่วันนี้ ยิ่งเริ่มเร็ว โดยเฉพาะคนอายุน้อย จะใช้จำนวนเงินเพื่อไปเก็บออมไม่มาก เพราะมีเวลาในการเก็บออม ลงทุน อีกหลายปีกว่าจะเกษียญ และยิ่งเริ่มเร็วจำนวนความมั่งคั่งก็จะเพิ่มขึ้นเร็วเช่นเดียวกัน

สำหรับ เงินที่เตรียมไว้ใช้หลังเกษียณ จำเป็นอย่างยิ่งที่เงินต้นต้องปลอดภัย เพราะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของเรา จะเสี่ยงไม่ได้ และจะต้องได้รับอัตราดอกเบี้ย หรือ ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นด้วย จะทำให้เงินก้อนเล็กกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ในวันเกษียณ ซึ่งมีเครื่องมือการออมหลากหลายรูปแบบให้เลือก ดังนี้

1.สินทรัพย์ เช่น ซื้อบ้าน ซื้อคอนโดมิเนี่ยม ที่ดิน โดยสามารถพึ่งพิงเงินกู้จากธนาคารได้ มีการผ่อนชำระระยะยาว ไม่เป็นภาระมาก

2.ทองคำ ที่มูลค่าค่อนข้างเสถียรและมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น

3.ตราสารหนี้ ที่มีการค้ำประกันผลตอบแทน

4.ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ และประกันชีวิตแบบบำนาญ เพื่อดูแลครอบครัว และยังเป็นการออมเงินไว้ใช้ในระยะยาว

5.กองทุนรวม ที่มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ในสัดส่วนที่สูง และได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

6.สลากของธนาคารรัฐ ที่มีการค้ำประกันเงินต้น ค้ำประกันอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ และได้ลุ้นรางวัลจากการถูกสลาก

ขอบอกเลยว่า การเลือกออมในหลากหลายสินทรัพย์ คือ มีทั้ง 6 สินทรัพย์ข้างต้น จะช่วยกระจายความเสี่ยงของเงินออมและเงินลงทุน มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากหลากหลายช่องทาง เป็นแนวทางที่กูรูด้านการวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณระดับโลกแนะนำตรงกัน

โจทย์ใหญ่มีเงินเท่าไหร่ถึงจะพอ

เป็นคำถามที่หลายคนคงเคยถามตัวเอง และเสาะแสวงหาคำตอบให้ตัวเอง ซึ่งหาคำตอบได้ไม่ยาก เพราะวันนี้มีที่ปรึกษาทางการเงินจำนวนมากที่คอยให้บริการ และยังสามารถหาได้จากการกรอกข้อมูลส่วนตัวลงในแอพพลิเคชั่นของสถาบันการเงินที่นำออกมาใช้ลูกค้าใช้บริการฟรีกันมากมาย

กูรูส่วนใหญ่จะมีตัวเลขขั้นต่ำอยู่ประมาณ 4-5 ล้านบาท และที่สูงกว่านั้นก็ประมาณ 10-15 ล้านบาท พอเห็นตัวเลขแล้ว หลายคนอาจถอดใจล้มเลิกวางแผนทางการเงินไปเลย

ในความเป็นจริง จำนวนเงินออมที่เพียงพอใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุขและไร้กังวลของแต่ละคนไม่เท่ากัน จะขึ้นอยู่กับ 3 อย่างนี้

1.ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต

2.สถานที่ที่ใช้ชีวิตหลังเกษียณ

3.สุขภาพ

ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต มีอิทธิพลอย่างมากต่อค่าใช้จ่ายและความเพียงพอของเงินออมหลังเกษียณ หากใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ทานอาหารโรงแรม ใช้ของแบรนด์เนม ชอบท่องเที่ยวต่างประเทศ เล่นกีฬาที่ต้องเสียค่าสมาชิกปีละแสนบาท ออกงานสังคมบ่อย ใช้บริการด้านสุขภาพจากโรงพยาบาลเอกชนที่มีราคาแพงอันดับต้นๆ ของไทย ตัวเลขเงินออมที่เพียงพอต้องมี 10 ล้านบาทขึ้นไป แต่ถ้าใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเหมือนคนส่วนใหญ่อาจจะเหลือแค่ล้านต้นๆ

ด้านสถานที่ใช้ชีวิตหลังเกษียณ หากอยู่ในกรุงเทพ หรือหัวเมืองใหญ่ๆ มีบ้านอยู่ของตัวเอง แต่ก็ต้องมีเงินมาก เพราะทุกอย่างต้องซื้อ มีเพียงงานบ้านเท่านั้นที่เราทำเองได้ ที่เหลือล้วนต้องใช้เงินแลกมา เรียกว่ามีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตั้งแต่ก้าวออกจากบ้าน แต่มีข้อดีคือมีความสะดวกสบายซึ่งเหมาะกับคนเกษียณที่เป็นโสด

ยกตัวอย่าง คนวัยเกษียณใช้ชีวิตคนเดียวในคอนโดมิเนี่ยมของตัวเอง ราคา 1.6 ล้านบาท ที่ผ่อนหมดแล้ว แต่ยังต้องจ่ายค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าประกันภัย เดินทางโดยรถไฟฟ้า กินข้าวนอกบ้าน ไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ 4 ครั้งต่อสัปดาห์ สุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บป่วย และใช้สวัสดิการบัตรทองในการรักษาเมื่อเจ็บป่วย ใช้เงินเดือนละ 14,000 บาท ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่อยู่ที่ค่าอาหาร และค่าเดินทาง

หากมีชีวิตหลังเกษียณ 20 ปี จะใช้เงินทั้งหมด 3.36 ล้านบาท ถ้ามีเงินสดในมือไม่ถึง 3.36 ล้านบาท สามารถเปลี่ยนคอนโดมิเนี่ยมไปเป็นทุน ซึ่งปัจจุบันบ้านเรามีสินเชื่อ Reverse mortgage สำหรับผู้เกษียณ โดยการนำคอนโดมิเนี่ยมไปทำสัญญาจำนองไว้กับธนาคาร แล้วธนาคารจะจ่ายเงินให้เราเป็นรายเดือน จนกว่าจะครบจำนวนตามที่ได้ตกลงกันไว้ โดยที่เรายังมีสิทธิอยู่อาศัยในคอนโดมิเนี่ยมนั้นต่อไป และเมื่อครบกำหนดสัญญาแล้วถ้าเราไม่มีเงินไปไถ่คืน คอนโดมิเนี่ยมก็ตกเป็นของธนาคาร ปัจจุบันมีธนาคารออมสิน และ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดให้บริการสินเชื่อดังกล่าว

จากจำนวนเงินที่ต้องใช้หลังเกษียณ 3.36 ล้านบาท ถ้าทำ Reverse mortgage สมมุติได้ประมาณ 1.1 ล้านบาท ผู้เกษียณรายนี้เก็บเงินออมเพียง 2.5 ล้านบาทเท่านั้น

กรณีเกษียณแล้วใช้ชีวิตในต่างจังหวัด มีบ้านของตัวเอง ราคา 6 แสนบาท สามารถเดินทางไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง สุขภาพแข็งแรง เช่น การเดินไปวัด เดินไปตลาด หรือ ปั่นจักรยานไปในที่ที่อยากไประยะใกล้ๆ ได้ ปลูกข้าว ปลูกผักกินเอง เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ บนที่ดินของตัวเอง ใช้เงินเดือนละ 5,000 บาท ค่าใช้จ่ายประจำคือ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าไฟ ค่านม ของใช้ในห้องน้ำและในครัว ค่ากาแฟ ทำบุญ ถ้ามีเวลาใช้เงิน 20 ปีหลังเกษียณ จะเป็นเงิน 1.2 ล้านบาท

ช่วงที่อายุมากขึ้น ปลูกข้าว ปลูกผักไม่ได้หมือนเดิม อาจแบ่งที่ดินขาย เพื่อนำเงินสดมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน สมมุติขายที่ดินได้ 6 แสนบาท ผู้เกษียณรายนี้เก็บเงินเพียง 6 แสนบาท

ถ้าสุขภาพดีเป็นทุนเดิม และมีการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันตั้งแต่พฤติกรรมการ กิน อยู่ หลับ นอน อารมณ์ อากาศ ดี สามารถบอกได้เลยว่าคนคนนั้นจะมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว ไม่เจ็บป่วยบ่อย จัดว่ามีสุขภาพเป็นทรัพย์ เงินที่เตรียมไว้เป็นค่ารักษาจะกลายไปเป็นเงินเพื่อใช้ในการเอ็นเตอร์เทนตัวเอง

จากตัวอย่างข้างต้น ทั้งคนวัยเกษียณที่ใช้ชีวิตในกรุงเทพ และ ใช้ชีวิตที่ต่างจังหวัด ล้วนแต่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ใช้บัตรสวัสดิการบัตรทองในการรักษาพยาบาล มีที่อยู่อาศัยปลอดภาระหนี้ทั้งคู่ และ มีการเตรียมพร้อมชีวิตการเงินหลังเกษียณมาอย่างน้อย 20 ปีแล้ว

การเตรียมพร้อมชีวิตการเงิน หลังเกษียณแต่เนิ่นๆ จะทำให้เราใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข และ ไร้กังวล สิ้นปีนี้ได้โบนัส จัดไปออมเพื่อการเกษียณรับปีใหม่ 2565 กันเถอะ